วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2559

เกณฑ์การพิจารณาเงินเดือนแรกเริ่มสำหรับข้าราชการราชทัณฑ์

เกณฑ์การพิจารณาเงินเดือนแรกเริ่มสำหรับข้าราชการราชทัณฑ์
เคยสงสัยไหมว่าเวลาประกาศสอบคัดเลือกรับข้าราชการ แต่ละหน่วยงานจะอ้างเงินเดือนแรกรับตาม อกพ.กระทรวง กำหนดเช่น
  • ตำแหน่งนักทัณฑวิทยาปฎิบัติการ (งานควมคุมผู้ต้องขังชายและอื่นๆ) อัตราเงินเดือน 15000-16500บาท หรือตามอกพ.กระทรวงยุติธรรมกำหนด
  • ตำแหน่งเจ้าพนักงานราชทัณฑ์ปฎิบัติงาน (งานควมคุมผู้ต้องขังชายและอื่นๆ) อัตราเงินเดือน 11500-12650บาท หรือตามอกพ.กระทรวงยุติธรรมกำหนด
ช่วงเงินเดือน 15000-16500 หรือ 11500-12650 นั้นมีที่มาจากเกณฑ์ที่พิจารณาหลักๆ 4 หลักด้วยกันประกอบด้วย

  1. เกณฑ์พิจารณาจากลำดับที่สอบได้ (เพราะฉนั้นสอบติดพร้อมกันแต่ลำดับต่างกันเงินเดือนจะไม่เท่ากัน)
  2. เกณฑ์พิจารณาจากคุณวุฒิการศึกษาระดับเดียวกันที่ใช้สมัครที่ไม่ใช่คุณวุฒิที่ประกอบการสมัคร เช่นมีวุฒิปริญญาตรีหลายใบ
  3. เกณฑ์พิจารณาจากประสบการณ์ทำงาน1ปีขึ้นไปที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมและออกเป็นหนังสือรับรองโดยผู้บังคับบัญชาหน่วยงานนั้นๆ
  4. เกณฑ์พิจารณาจากใบประกอบวิชาชีพและประกาศนียบัตรที่ใช้พิจารณาปัจจัยด้านความขาดแคลนสำหรับกลุ่มงานหลักของกรมราชทัณฑ์ เช่น ใบอนุญาติประกอบโรคศิลป์ ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ประกาศนียบัตรบัณฑิตทุกสาขา หลักสูตรการฝึกอบรม รด. ฯลฯ
ส่วนเกณฑ์ความสำคัญทั้ง 4 หลักเกณฑ์แบ่งเท่าๆกันคือ เกณฑ์ละ 25%ของส่วนต่างระหว่าง 15000-16500 คือ 1500 ดังนั้นแต่ละเกณฑ์เท่ากับ 1500*25%= 375 บาท สำหรับตำแหน่งนักทัณฑวิทยาปฎิบัติการบรรจุใหม่

วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2559

5 ก้าวย่างแห่งการเปลี่ยนแปลงราชทัณฑ์

"5 ก้าวย่างแห่งการเปลี่ยนแปลงราชทัณฑ์" เกิดขึ้นภายหลังที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มอบนโยบายเร่งด่วนให้มีการแก้ไขปัญหายาเสพติด โทรศัพท์มือถือ และสิ่งของที่ต้องห้ามในเรือนจำให้แก่กรมราชทัณฑ์ โดยมี พล.ท.ทิวะพร ชะนะพะเนาว์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการประทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้ประสานงานการขับเคลื่อนนโยบาย นายวิทยา สุริยะวงค์ อดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์ในสมัยนั้น เพื่อให้ผู้บริหารและข้าราชการในสังกัดกรมราชทัณฑ์ทั่วประเทศได้นำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ จนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของกรมราชทัณฑ์
       
       ภายใต้นโยบาย 5 ก้าวย่างแห่งการเปลี่ยนแปลงราชทัณฑ์ ประกอบด้วย

  • ก้าวที่ 1 การควบคุมปราบปรามยาเสพติด โทรศัพท์มือถือ ตลอดทั้งสิ่งของที่ต้องห้ามในเรือนจำ ทั้งนี้ ได้ขออำนาจ คสช.นำกำลังตำรวจในพื้นที่เข้าตรวจค้นเรือนจำในลักษณะจู่โจม ร่วมกับชุดปฏิบัติการพิเศษกรมราชทัณฑ์ เข้าปฏิบัติการเรือนจำอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้สถานการณ์ยาเสพติดเบาบางลง ทั้งนี้ ได้มีการสับเปลี่ยนโยกย้าย และบทลงโทษทางวินัย และทางอาญาอย่างเฉียบขาด กรณีที่มี จนท.มีพฤติกรรมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย 
  • ก้าวที่ 2 เน้นการจัดระเบียบเรือนจำ ภายใต้แนวทาง วินัยเข้ม สะอาด เป็นระเบียบ สวยงามทุกตารางนิ้ว 
  • ก้าวที่ 3 เน้นการฝึกวินัยผู้ต้องขัง จัดโครงการประกวดสวนสนามผู้ต้องขังในทุกปี พร้อมส่งเสริมสร้างลักษณะนิสัยแห่งความรับผิดชอบให้แก่ผู้ต้องขังด้วยการมอบหมายให้ดูแลพื้นที่ที่กำหนดให้ สร้างนิสัยให้ผู้ต้องขังเกิดความรับผิดชอบ และจะได้เกิดนิสัยติดตัวไปเมื่อพ้นโทษสู่สังคม 
  • ก้าวที่ 4 เป็นการพัฒนาจิตใจด้วยหลักสูตรสัคคสาสมาธิ เป็นการใช้สมาธิในการอบรมผู้ต้องขัง เพื่อการมีสติในการครองตนระหว่างต้องขังสำหรับการอยู่ร่วมกัน และมีสติยั้งคิดในการกระทำความดีเมื่อพ้นโทษออกไปอยู่กับสังคม 
  • ก้าวที่ 5 เป็นการสร้างการยอมรับจากสังคม เน้นสร้างการยอมรับจากโดยให้ประชาชนรู้ผ่านสื่อต่างๆ ที่ถูกต้อง และเกิดการยอมรับผู้พ้นโทษ รวมทั้งปลูกฝังความเชื่อ ความศรัทธาทำให้เกิดทัศนคติค่านิยมที่ถูกต้อง

Tip เล็กน้อยสำหรับทำข้อสอบ ภาค ข นักทัณฑวิทยาปฎิบัติการและเจ้าพนักงานราขทัณฑ์ปฎิบัติงาน

Tip เล็กน้อยต่อไปนี้หลายคนอาจทราบอยู่แล้ว แต่บางคนอาจยังไม่ทราบดังนั้นน่าจะพอมีประโยชน์อยู่บาง

Tip1 : ทำยังไงเมื่อเจอคำถามที่เราไม่รู้ หรือจำไม่ได้เลย


คำถาม หลักปรัชญาอาชญาวิทยาถือกำเนิดที่ประเทศอะไร
  1. อเมริกา
  2. อังกฤษ
  3. ฝรั่งเศส
  4. อิตาลี
ถ้าจำไม่ได้เลยจะทำยังไง
  • จากตัวเลือกมียุโรป3ประเทศ คำตอบน่าจะอยู่ในยุโรปแน่นอน
  • จากค.ศ.ที่ถือกำเนิดหลักอาชญาวิทยานั้นเป็นปีต้นๆของยุโรปดังนั้นน่าจะประเทศที่อยู่ใกล้กรีซ-โรมัน ก็เหลือฝรั่งเศสกับอิตาลี หากยังไม่รู้จะวิเคราะห์ต่อยังไง ก็เดาเอาอย่างน้อยก็เหลือโอกาส 50-50
  • แต่ถ้าทราบชื่อบิดาอาชญาวิทยา คือ ซีซาร์ ลอมโบโซ ก็ค่อนข้างชัวร์ว่าต้องเป็น ชาวโรมันเพราะชื่อซีซาร์ เหมือนๆในหนังฝรั่งเลย โรมัน=อิตาลี

ดังนั้นจากเวลาที่ให้ทำข้อสอบนั้น 2ช้่วโมง 30นาที นั้นเหลือเวลาเยอะแน่นอน ควรเว้นข้อที่ไม่มั่นใจและจำไม่ได้หรือไม่ได้อ่านเอาไว้สุดท้ายเพื่อมานั่งคิด ค่อยๆทบทวนความจำ หรือค่อยๆวิเคราะห์ใช้หลักความจริง หลักธรรมชาติ เพราะผู้ออกข้อสอบบางครั้งจะหลอกตัวเลือกไว้ ตัวหลอกนี้แหละที่มันไม่เป็นธรรมชาติ ฉนั้นหากพอเริ่มทำข้อสอบแล้วไม่มีข้อไหนเลยที่มั่นใจ อย่าเพิ่งตกใจเสียขวัญและอารมณ์เสีย เพราะถึงจะรีบเดาไปเราก็ต้องนั่งอยู่ในห้องสอบจนหมดเวลาอยู่ดี พึ่งระลึกเสมอว่าโอกาสที่กรมฯจะเปิดสอบนั้นไม่บ่อยเลย บางครั้งต้องรอเป็นปีๆจึงจะได้สอบ เราควรตั้งใจให้ดี


Tip 2 : เตรียมการไว้ล่วงหน้าว่าข้อสอบครั้งนี้ มีหัวข้อใดบ้าง จัดลำดับหัวข้อที่ตนเองถนัด พอได้รับข้อสอบ ให้รีบสกรีนหาหัวข้อที่ตนเองถนัดที่สุด และมั่นใจว่าทำได้ชัวร์ วงเลขหน้าข้อไว้ก่อนเลยแล้วไล่ทำให้หมดก่อนลงมือทำข้ออื่น ๆ

Tip 3 : กำหนดเวลาให้ตัวเองว่า ถ้าทำโจทย์แล้วไม่คืบหน้าจากเดิมเกิน 2 นาที หรือใช้เวลาทำ 5 นาทีแล้วยังไม่เห็นปลายทาง ให้เลิกทำทันที แล้วตัดสินใจมองหาข้ออื่นที่มีความเป็นไปได้ว่าจะทำถูกต้อง

Tip 4 : ศึกษาสถานที่ที่จัดสอบ การเดินทาง ระยะเวลาที่ใช้เดินทาง ให้ถี่ถ้วน หากอยู่ใกล้ก็ให้ทดลองไปจริงดูก่อนเพื่อให้รู้สถานที่จริงจะได้รู้ปัญหาต่างๆล่วงหน้าก่อน หรือหากอยู่ไกลต่างจังหวัดไปดูก่อนไม่ได้ และต้องเดินทางหลายต่อก็ให้มานอนค้างคืนใกล้ที่สอบเลย ส่วนใหญ่สถานที่สอบก็คงหนีไม่พ้น มหาวิทยาลัยรามคำแหง 1 จากหลายๆครั้งที่ผ่านมาจะสอบที่อาคารเวียงผาก็ใช้อินเตอร์เนตให้เป็นประโยชน์โดยดูแผนที่จาก google หรืออื่นๆก็ได้ ส่วนแผนที่ม.ราม1 นั้นก็มีให้ดูทั่วไปในเนต ดังนั้นศึกษาการเดินทางให้ดี และควรมาถึงก่อนสอบอย่างน้อย30นาที


Tip 5 : หากไม่มีเวลาทบทวนมาก การฟังเยอะๆก็มีประโยชน์มากพอสมควร (ในกรณีที่เราอ่านเนื้อหามาเยอะพอสมควรแล้ว) การฟังเพิ่มขึ้นจะช่วยให้เราเข้าใจมากยิ่งขึ้นและไม่ต้องพึ่งความจำมากนัก หลายคนจึงใช้วิธีพอใกล้สอบจะหาที่ติวช่วงสุดท้ายใกล้ๆบ้าน หรือจะมาพักใกล้ ม.รามเลยก็มีเพราะแถบหน้า ม.จะมีสถาบันติวคอร์ดระยะสุดท้ายมากอยู่แล้ว แต่สำหรับคนต่างจังหวัดหรือประเภทไม่มีเวลา และต้องใช้เวลาเดินทางไกลๆเพื่อเข้ามาสอบอาจเป็นเวลาที่ดีอีกแบบหนึ่งในการทบทวนสิ่งที่อ่านมา โดยให้หาไฟล์ออดิโอ หรือโหลดคิปติวจากยูทูปเก็บไว้ในมือถือหรืออะไรก็ได้ที่สามารถฟังได้ง่ายๆขณะเดินทางแทนการฟังเพลง โดยเฉพาะคลิปติวที่เกี่ยวกับ พรบ.พระราชกฤษฎีกาบ้านเมืองที่ดี พศ.2546 และ พรบ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พศ. 2551 นั้นมีมากมายในยูทูป สามารถเลือกโหลดมาฟังได้ จากการคุยกับผู้สอบผ่านหลายคน แนะนำคลิปติวของ actgroup ฟังแล้วเข้าใจง่าย






Tip 6 : ข้อสอบทุกรุ่นที่ผ่านๆมา จะต้องมีข้อที่เกี่ยวกับวันที่ประกาศใช้ พรบ., พรฎ, กฎกระทรวง หรือ ประกาศต่างๆ ดังนั้นต้องจำให้ครบทุกเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง และ ระวัง วันที่แต่ละวันให้ดีอาจสับสนกันได้เช่น วันที่ตราไว้ วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา(ตั้งแต่วันที่ประกาศหรือวันถัดไป) วันที่ให้ไว้ วันที่มีผลบังคับใช้ ถ้าให้ดีก็ทำเป็นตารางสรุปไว้เลย มีแน่นอน

เรือนจำความมั่นคงสูง ในไทยมีที่ไหนบ้าง?

เรือนจำความมั่นคงสูงคืออะไร? ในไทยมีที่ไหนบ้าง? มีใครเคยได้รู้ได้ยินบ้างไหม

เรือนจำที่มีความมั่นคงสูงในไทยปัจจุบันมี 9 แห่ง ประกอบด้วย

  1. เรือนจำกลางคลองเปรม 
  2. ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง 
  3. เรือนจำกลางบางขวาง 
  4. เรือนจำกลางจังหวัดพิษณุโลก 
  5. เรือนจำกลางเขาบิน จ.ราชบุรี 
  6. เรือนจำกลางจังหวัดระยอง 
  7. เรือนจำกลางคลองไผ่ จ.นครราชสีมา 
  8. เรือนจำกลางจังหวัดนครศรีธรรมราช 
  9. เรือนจำกลางจังหวัดสงขลา
เรือนจำที่มีความมั่นคงสูงในไทยมีเป้าหมายจะพัฒนาเป็นเรือนจำมั่นคงสูงสุด หรือ  (Supermaximum Security Prison) เรียกสั้นๆ ว่า 'Supermax Prison' ตามต่างประเทศ การจัดประเภทเรือนจำตามระดับความมั่นคงมีมานานแล้ว โดยสามารถแยกเรือนจำออกตามระดับความมั่นคงได้ 3 ระดับ คือ เรือนจำที่มีความมั่นคงต่ำ (Minimum Security Prison) เรือนจำที่มีความมั่นคงปานกลาง (Medium Security Prison) และเรือนจำที่มีระดับความมั่นคงสูง (Maximum Security Prison) โดยเรือนจำที่มีระดับความมั่นคงสูงจัดว่าเป็นเรือนจำที่มีความมั่นคงแข็งแรงทั้งทางอาคารสถานที่และระบบการควบคุม โดยเป็นเรือนจำที่ใช้คุมขังผู้ต้องขังรายสำคัญๆ กล่าวได้ว่าเรือนจำมั่นคงสูงเป็นเรือนจำที่มีระดับความมั่นคงสูงสุดแล้ว อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในวงการราชทัณฑ์ในหลายประเทศ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงในลักษณะทางประชากรของผู้ต้องขังที่มีลักษณะร้ายและทำงานเป็นเครือข่ายมีอิทธิพลมากขึ้น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องขังที่มีมากขึ้น ทำให้หลายประเทศประสบกับปัญหาในการควบคุมผู้ต้องขังดังกล่าวโดยพบว่ากำแพงเรือนจำและวิธีการควบคุมแบบเดิมไม่สามารถใช้ในการควบคุมผู้ต้องขังดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว และหันไปรับมือกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยการสร้างเรือนจำอีกประเภทหนึ่งที่มีระดับความมั่นคงสูงกว่าเรือนจำมั่นคงสูง คือ เรือนจำมั่นคงสูงสุด

เรือนจำทั้ง 143 แห่งทั่วประเทศไทย เรือนจำกลางเขาบินเป็นเรือนจำที่สมบูรณ์ที่สุด แดน 6 ภายในเรือนจำกลางเขาบิน จ.ราชบุรี ถูกเลือกให้เป็นแดนมั่นคงสูงสุด หรือ Supermax แห่งแรกในประเทศไทย สามารถรับผู้ต้องขังได้ประมาณ 444 คน อีกทั้งมีเครื่องมือทันสมัย โดยเฉพาะแดนความมั่นคงสูงมีกล้องวงจรปิด 360 ตัว การดำเนินงาน การจัดการต่างๆ จะใช้ระบบเทคโนโลยีช่วยด้วย ตั้งแต่การเยี่ยมญาติ ใช้ระบบวิดีโอแบบซิสเต็ม ควบคุมด้วยระบบคอนโทรลคอมพิวเตอร์ โดยเจ้าหน้าที่จะดูแลทางจอภาพอยู่ตลอด และมีอุปกรณ์ที่ตัดสัญญาณการสื่อสารได้ทั้งหมด
แดน 6 ภายในเรือนจำกลางเขาบิน จ.ราชบุรี ถูกเลือกให้เป็นแดนมั่นคงสูงสุด หรือ Supermax แห่งแรกในประเทศไทย


กรมราชทัณฑ์อยู่ระหว่างก่อสร้างเรือนจำแดนความมั่นคงสูงสุดเพิ่มอีก 4 แห่ง คือ ที่ จ.นครราชสีมา จ.ระยอง จ.นครศรีธรรมราช และ จ.พิษณุโลก เพื่อลดปัญหานักโทษล้นเรือนจำ และรองรับนักโทษในระดับบิ๊กเนม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักโทษรายสำคัญในความผิดคดีค้ายาเสพติด เพื่อเป็นการตัดวงจรการค้ายาเสพติด โดยเรือนจำความมั่นคงสูงที่ จ.ระยอง และจ.พิษณุโลก อยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยจะมีการคัดกรองผู้คุมที่มีความอดทนต่อการยั่วยุต่างๆ และมีใจรักในด้านนี้ มาปฏิบัติหน้าที่ ในเรือนจำความมั่นคงสูงที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกด้วย

แนวคิดเกี่ยวกับการสร้างเรือนจำมั่นคงสูงสุดในประเทศไทย


แนวคิดเกี่ยวกับการสร้างเรือนจำมั่นคงสูงสุดในประเทศไทยเริ่มมีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 ซึ่งมีบทความเกี่ยวกับการสร้างแดนมั่นคงสูงสุดในเรือนจำ ปรากฏในจุลสาร     ทัณฑวิทยา ปีที่ 1 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ.2542 จากนั้นจึงได้มีการสร้างแดนมั่นคงสูงสุดในเรือนจำบางแห่งขึ้น เช่น ที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง มีแดน 10 ซึ่งมีความแตกต่างจากแดนอื่นๆ ในทัณฑสถานโดยมีระดับความมั่นคงทางกายภาพ การใช้เทคโนโลยีระบบการควบคุม และบุคลากรที่คัดสรรเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามแดนความมั่นคงสูงสุดก่อให้เกิดความแตกต่างจากแดนอื่นๆ ในทัณฑสถาน ความเข้มงวดในการควบคุม สภาพพื้นที่และอัตรากำลัง ทำให้แดนมั่นคงสูงสุดไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพในเรือนจำที่รายล้อมด้วยการปฏิบัติที่ ลักหลั่นแตกต่างกันกับแดนอื่นๆ ดังนั้นถ้าจะทำให้การควบคุมมีประสิทธิภาพต้องมั่นคงสูงทั้งเรือนจำ
การก่อสร้างเรือนจำมั่นคงสูงสุดในประเทศไทยไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนหรือค่าก่อสร้างมากมายดังที่คาด เพราะสิ่งที่สำคัญหรือหัวใจของเรือนจำมั่นคงสูงสุดอยู่ที่การ “ออกแบบ” เรือนจำ ไม่ใช่ที่เทคโนโลยี ทำอย่างไรจึงจะสามารถออกแบบเรือนจำให้จำกัดการเคลื่อนไหวของผู้ต้องขังไม่ให้มารวมกลุ่มกันและแยกการพบปะของกลุ่มผู้ต้องขังในแดนย่อยต่างๆ ได้อย่างเด็ดขาด และกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ต้องไปสัมผัสกับผู้ต้องขัง พึ่งพาผู้ต้องขัง เท่านั้น นี่คือหัวใจของเรือนจำมั่นคงสูงสุด นอกจากนี้จะต้องหาพื้นที่ที่มีความกว้างพอที่จะทำให้เรือนจำตั้งอยู่ห่างไกลจากชุมชนโดยมีเขตกันชนที่กว้างขวางพอ ในขณะที่เทคโนโลยีที่ใช้ไม่จำเป็นต้องวิจิตรพิสดาร เพราะอายุการใช้งานจะไม่นานและประสิทธิภาพยังไม่เสถียร ดังนั้นจึงควรใช้เทคโนโลยีอย่างพอเพียง ที่สำคัญคือระบบการควบคุมที่จะต้องแตกต่างจากเรือนจำทั่วไปที่กิจกรรมในเรือนจำจะเน้นการควบคุมเป็นหลัก ในขณะที่เรื่องบุคลากรก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่จะต้องมีความพร้อมทั้งปริมาณและคุณภาพ เพราะเมื่อผู้ต้องขังมีสิทธิและได้รับการคุ้มครองด้านสิทธิมนุษยชนมากขึ้น สามารถใช้เป็นอาวุธร้องเรียนและต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องหันไปสู่การใช้อาคารสถานที่เป็นเครื่องมือในการควบคุมแทน
เรือนจำมั่นคงสูงสุดในประเทศไทยต้องปรับให้เข้ากับสภาพของภูมิอากาศเมืองร้อน และวัฒนธรรมชาวเอเชีย รูปแบบที่เหมาะสมน่าจะคล้ายคลึงกับรูปแบบของเรือนจำมั่นคงสูงสุดของประเทศสิงคโปร์กับมาเลเซียที่บริษัทจากอังกฤษออกแบบให้ เป็นเรือนจำที่ได้ปรับสภาพให้เข้ากับวัฒนธรรมตะวันออก แต่มีความมั่นคงแข็งแรงและตัดการสื่อสารของผู้ต้องขังออกจากกันเป็นกลุ่ม ตัดการสัมผัสและพึ่งพาของผู้ต้องขังกับเจ้าหน้าที่เรือนจำ ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมและบริหารงาเรือนจำได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยอาศัยอาคารสถานที่ เพราะถ้าหากการควบคุมผู้ต้องขังยังมีสภาพการเอาอาคารสถานที่ที่ไม่มั่นคงแข็งแรงไม่มีระบบการควบคุมอาคารที่ดี เหมือนการเอา “สุ่มไก่มาขังเสือ” จะทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพและตกเป็นเบี้ยล่างของผู้ต้องขังที่อาศัยเรื่องสิทธิและร้องเรียนเป็นเครื่องมือ
ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าเรือนจำมั่นคงสูงสุดเป็นความจำเป็นที่จะตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในการราชทัณฑ์ กล่าวคือการเปลี่ยนแปลงของลักษณะประชากรของผู้ต้องขังซึ่งมีลักษณะร้ายและเป็นเครือข่ายมากขึ้น การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เพิ่มมากขึ้นจนเจ้าหน้าที่ทำงานลำบากและความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสาร ความล่าช้าต่อการจัดตั้งเรือนจำมั่นคงสูงสุด ตลอดจนความชัดเจน ถูกต้องในรูปแบบของเรือนจำมั่นคงสูงสุดจึงเป็นสิ่งที่จะต้องให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกเลยทีเดียว เพราะในเวลานี้แค่เรือนจำมั่นคงปานกลางของประเทศตะวันตกก็มีความมั่นคงสูงกว่าเรือนจำสูงสุดในประเทศไทยแล้ว

วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2559

ภาค ค การสอบสัมภาษณ์ผู้คุม (50คะแนน)

การสอบสัมภาษณ์หมือนจะง่ายแต่มีผลมากหากคะแนนสูสีกัน แม้มองดูจะไม่สำคัญเท่าไร แต่ความเป็นจริงมันเป็นด่านสำคัญพอสมควร เพราะตอนนี้เราคงไม่อาจไปแก้ไขคะแนนข้อเขียนได้อีกแล้ว ดังนั้นต้องมารักษาคะแนนส่วนนี้ไว้ให้ดีๆ เพราะหลักการให้คะแนน ในเบื้องต้นทุกคนจะมีคะแนนเริ่มต้นที่ 50 คะแนนเท่ากันหมด พอเริ่มสอบสัมภาษณ์เขาก็จะเริ่มตัดคะแนนเรา ใครถูกตัดน้อยที่สุดก็จะเป็นผู้ได้คะแนนดีที่สุด

 หลักการสอบสัมภาษณ์ มีหลักเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้
1. การแต่งกาย ผู้เข้าสอบจะต้องแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย โดยเฉพาะสุภาพสตรีห้ามใส่รองเท้าแฟชั่น ต้องใส่รองเท้าหุ้มส้น สรุปแล้วควรจะแต่งกายสะอาดเรียบร้อย ผู้ชายควรเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว ผูกเน็คไทสีดำหรือสีน้ำเงิน(คล้ายชุดนักศึกษา) ส่วนผู้หญิงใส่สูทได้จะดีและเน้นที่รองเท้าต้องหุ้มส้น และเรื่องทรงผมต้องตัดให้สุภาพเรียบร้อย ถ้าผมสั้นได้ก็จะดี เพราะข้าราชการกรมราชทัณฑ์คล้ายๆทหาร ตำรวจ ผู้ผ่านเข้าสัมภาษณ์จะแบ่งเป็นสามประเภท คือ 1. ข้าราชการ 2. พนักงานราชการ และ 3. บุคคลทั่วไป ประเภท 1และ 2 จะแต่งชุดข้าราชการและพนักงานราชการของกรมฯแน่นอน บุคคลภายนอกจึงต้องให้เนียบไว้ก่อน อีกอย่างเมื่อถึงเวลาเข้าสอบ ไม่ควรพกโทรศัพท์มือถือเข้าไปด้วย เพราะถ้าขณะสอบสัมภาษณ์มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาหรือมีการสั่นของโทรศัพท์ขึ้น จะมีปัญหาต่อการสอบสัมภาษณ์มาก


2. กิริยามารยาท เมื่อเดินเข้าไปสอบสัมภาษณ์ กรรมการจะเริ่มมองเรา เขาจะดูท่าทางการเดินและการแต่งกาย รวมไปถึงกิริยามารยาทว่าเรามีลักษณะอย่างไร ก่อนเข้าห้องจะมีเจ้าหน้าที่แจ้งให้เราปฎิบัติอย่างไรและพูดอย่างไร ให้เราจำและปฎิบัติตามนั้นให้ได้ เมื่อถึงโต๊ะกรรมการเราจะต้องยกมือไหว้(บุคคลทั่วไป) ทำความเคารพ(สำหรับข้าราขการและพนักงานราชการ)พร้อมกับกล่าวคำว่า “สวัสดีครับ สวัสดีค่ะ” ให้เสียงดังชัดเจน และเข้าจะเชิญเรานั่ง เราก็ต้องกล่าวคำขอบคุณและนั่งตัวตรงไม่เอาหลังพิงเก้าอี้ ยิ้มนิดๆ พร้อมรับการสอบสัมภาษณ์ หรืออีกกรณี คือ เมื่อยกมือไหว้กล่าวคำว่าสวัสดีแล้ว เขาอาจจะยังไม่เชิญเรานั่ง แล้วมองหน้าเราเฉยๆ เราต้องรีบรายงานตัวทันที กิริยามารยาทที่แสดงออกจะถูกนำไปบันทึกเพื่อให้คะแนนทั้งสิ้น คำกล่าวขอบคุณ คำกล่าวสวัสดี รวมไปถึงหางเสียงมีผลทั้งสิ้น

3. ท่วงทีวาจา มันเป็นเทคนิคการพูดของเราเอง ว่าเราเป็นคนพูดจาอย่างไร พูดเร็วไปไหม ช้าไปไหม เป็นคนพูดไปหันลอกแลกไหม เราจะต้องควบคุมจังหวะของตนเองให้ดี พูดจาด้วยเสียงที่ดังฟังชัด ไม่ขี้อาย ทักษะในการพูด การอธิบาย เราต้องฝึกให้เกิดความเคยชิน

4. ทัศนคติ ความคิดสร้างสรรค์ ความคิดเห็น เขาจะดูเราจากการตอบสัมภาษณ์ ว่าเรามีลักษณะพึงประสงค์ดังกล่าวไหม ดังนั้น เวลาตอบคำถามที่เขาให้แสดงความคิดเห็นเราต้องอธิบายให้เขาเข้าใจให้ได้ ไม่ใช่ถามคำตอบคำ หรืออธิบายแบบน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง

5. การตอบคำถาม เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ คำถามส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของการถามประวัติส่วนตัวของเรา เราก็อธิบายตามความเป็นจริง แต่ที่สำคัญก็คือ ต้องคิดบวกเข้าไว้ และต้องเอาใจกรมที่เราจะสอบพอสมควร ความจริงเป็นอย่างไรเก็บไว้ก่อน แต่ตอนสัมภาษณ์ต้องตอบเอาใจกรม เพื่อให้เราเป็นที่น่าเอ็นดูของกรรมการ


***คำถาม – คำตอบ ในการสอบสัมภาษณ์***
1. เดิมทำงานอะไร ดีไหม ตอบ ทำงาน (เดิมที่เราทำอยู่)....... ดีครับ เป็นงานที่สนุกดีและก็เป็นงานที่ให้บทเรียนชีวิตมากมาย (เวลาพูดถึงงานเดิมต้องอย่าดูถูกงานเดิม ให้คิดบวกไว้ ตอบเป็นดีหมด ส่วนจะดีอย่างไรก็ตอบเอา)

2. งานเดิมก็ดีอยู่แล้ว ทำไมถึงมาสอบ ตอบ อยากทำงานที่มั่นคงครับ/ค่ะ (ถ้ารับราชการอยู่แล้วก็ให้ตอบว่า ต้องการความก้าวหน้า)

3. แล้วงานเดิมไม่มั่นคงอย่างไร ตอบ งานเดิมเป็นบริษัทเอกชน ซึ่งเขาถือเรื่องกำไร-ขาดทุน เป็นหลัก ต่อให้เราทำดีขนาดไหนถ้าเมื่อไรที่เขาขาดทุน ยังไงเขาก็ต้องปลดเราออก ผมจึงเรียกว่าความไม่มั่นคงครับ ส่วนงานราชการเป็นงานบริการหรือเป็นงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชน ถ้าเราทำดียังไงเราก็อยู่ได้ จึงเรียกว่าความมั่นคง

4. ทำไมถึงอยากทำงานที่กรมราชทัณฑ์ ตอบ มีสาเหตุหลายประการ ประการที่

  1. ต้องการรับราชการเพื่อความมั่นคงของชีวิต และกรมราชทัณฑ์ก็เป็นงานราชทัณฑ์ ประการที่
  2. เมื่อได้รับราชการแล้วก็อยากรับราชการในกรมที่เปิดโอกาสให้เราเจริญก้าวหน้าได้อย่างไม่มีขีดจำกัด และก็ทราบว่ากรมราชทัณฑ์เป็นกรมที่เปิดโอกาสให้เราสอบเลื่อนวิทยฐานะได้ โดยไม่มีข้อจำกัด เพราะจากการได้ยินข่าวบางกรมนอกจากความสามารถแล้วยังต้องมีผู้สนับสนุน แต่ผมไม่เคยได้ยินข่าวในทางลบแบบนี้ ออกจากกรมราชทัณฑ์ ประการที่
  3. จะรับราชการกรมไหนก็ต้องดูรายได้เป็นองค์ประกอบด้วย ผมทราบว่าในกรมราชทัณฑ์ถ้าเราขยันจะมีรายได้มากมายจากค่าเข้าเวร จึงนับว่า เป็นกรมที่น่าสนใจมากครับ มีทั้งค่าเสี่ยงภัย 2,000 บาท ค่าเข้าเวรปกติวันละ 400 บาท ค่าเข้าเวร เสาร์-อาทิตย์ วันละ 420 บาท รวมไปถึงเงินปันผลจากงานฝึกวิชาชีพอีก สรุปก็คือ ผมคิดว่าถ้าได้บรรจุในกรมราชทัณฑ์ จะทำให้ผมและครอบครัวอยู่ได้จากสวัสดิการต่างๆ ครับ ประการสุดท้าย ผมคิดว่า หากคิดจะทำประโยชน์ต่อประเทศชาติ ผมว่าอยู่ในกรมราชทัณฑ์ได้ทำประโยชน์มากครับ เพราะว่าหากเราสามารถปรับเปลี่ยนพฤตินิสัยให้ผู้ต้องขังสามารถกลับเข้าไปอยู่กับสังคมได้ ผมว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อความปลอดภัยของประชาชนได้มากทีเดียว เพราะความร้ายกาจของคนคนหนึ่งจะส่งผลร้ายต่อประชาชนได้มากมาย ยกตัวอย่าง เช่น นาย ก. มีนิสัยชอบฆ่าข่มขืนผู้หญิง กว่าตำรวจจะจับนาย ก.ได้ จะมีเหยื่อได้รับผลร้ายจากการกระทำของนาย ก.มากมาย แต่ถ้าเราในฐานะที่เป็นข้าราชการกรมราชทัณฑ์ หากเราเปลี่ยนอุปนิสัยของนาย ก. ได้ ให้เขาทราบผลร้ายจากการกระทำจองเขา จนเขาสามารถยับยั้งอารมณ์ของตนเองได้ หลังจากเขากลับเข้ามาอยู่กับสังคมจะทำให้เกิดประโยชน์ต่อคนที่จะตกเป็นเหยื่อของเขาได้มากมาย นี่คือการทำความดีที่ชาวกรมราชทัณฑ์สามารถทำได้ เพื่อการเป็นข้าราชการที่ดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

5. คุณทราบประกาศรับสมัครจากที่ไหน ตอบ จาก Internet ของกรมราชทัณฑ์ www.correct.go.th (ที่ต้องตอบแบบนี้ เพื่อให้เขาทราบว่าเราสนใจกรมราชทัณฑ์จริงๆ ถึงได้เข้าดู web site ของกรมราชทัณฑ์อยู่เรื่อยๆ)

6. ถ้าได้บรรจุอยากบรรจุเรือนจำไหน ตอบ ให้ตอบเรือนจำใกล้บ้าน เพื่อจะได้ดูแลพ่อแม่ได้ (แสดงถึงความเป็นลูกกตัญญู)

7. ตำแหน่งนักทัณฑวิทยาหรือเจ้าพนักงานราชทัณฑ์ ต้องทำหน้าที่อะไรบ้าง

8. สังคมมองว่ากรมราชทัณฑ์อันตราย ยังอยากมาทำงานอยู่อีกเหรอ ตอบ นั่นเป็นภาพที่คนอื่นมอง แต่โดยส่วนตัวไม่ได้รู้สึกว่าอันตราย อาชีพตำรวจ ทหาร น่าจะอันตรายกว่าซะอีก เพราะเขาต้องเผชิญกับกลุ่มคนที่มีอำนาจมีความพร้อมในการต่อสู้ แต่สำหรับกรมราชทัณฑ์ ผู้ต้องขังอาจจะร้ายก็จริง แต่เขาอยู่ในเรือนจำในสภาพที่เขาไม่เหมาะสมที่จะก่อเหตุร้าย จึงคิดว่าไม่น่าอันตราย อีกอย่างจากการศึกษางานราชทัณฑ์ ในอนาคต กรมราชทัณฑ์มีจุดมุ่งหมายปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง เพื่อการแก้ไขฟื้นฟู เลยคิดว่าเรือนจำไม่น่าจะมีอะไรต้องให้กดดัน เมื่อผู้ต้องขังได้รับการปฏิบัติที่ดี ก็ย่อมส่งผลถึงจิตใจของผู้ต้องขังเอง การคิดหลบหนี แหกหักก็คงไม่น่าจะเกิดขึ้น แต่ถ้าหากเกิดขึ้นจริงเราก็พร้อมปฏิบัติตามหน้าที่โดยไม่รู้สึกกลัว

9. ข่าวของกรมราชทัณฑ์ที่ออกไปมักจะเป็นไปในทางลบ คุณเห็นข่าวอะไรบ้างเกี่ยวกับผู้ต้องขัง ตอบ ผู้ต้องขังสั่งซื้อสั่งขายยาเสพติดผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ซึ่งถ้าคนภายนอกมอง เขาจะคิดว่าการควบคุมของกรมด้วยประสิทธิภาพ ขนาดให้ผู้ต้องขังเอาโทรศัพท์ไปใช้ในเรือนจำได้ ซึ่งถ้ามองให้เป็นธรรม ข่าวแบบนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ เพราะแม้กรมจะมีความพยายามในการป้องกันมากมายขนาดไหน แต่ผู้ต้องขังก็ยังคิดค้นหาวิธีส่งเข้ามาจนได้ จนต้องเรียกว่า “สงครามเทคโนโลยีในคุก” กรมต้องแก้ไขโดยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่สกัดกั้น เช่น การใช้เครื่องตัดสัญญาณในบริเวณเรือนจำ เป็นต้น

10. จุดเด่นของคุณ คืออะไรบ้าง ตอบ เป็นคนขยัน อดทน มีความรับผิดชอบ และผมมีความรู้ความสามารถพิเศษ ดังนี้ครับ (ตอบตามความเป็นจริง เติมแต่งได้เท่าที่จำเป็น)

11. ได้สอบที่ไหนไว้บ้าง หรือขึ้นบัญชีที่ไหนไว้บ้าง ตอบ *** จุดประสงค์ที่เขาถามคำถามนี้ เขาจะดูว่าเรามีความสามารถขนาดไหน เพราะโดยปกติช่วงชีวิตของคนอยากรับราชการ จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาวิ่งตระเวนสอบ ถ้าคนไหนเก่งก็จะสอบติดไว้หลายที่ เราก็ต้องหยอดคำหวานว่าเราตั้งใจมากๆ กับการสอบนักทัณฑ์ แม้ว่าเราติดหลายที่ แต่สุดท้ายถ้าจะให้เลือก เราจะเลือกนักทัณฑ์ (ความเป็นจริงเป็นยังไงค่อยว่ากันทีหลัง แต่ตอนสัมภาษณ์เราต้องเอาใจหน่วยงานที่สัมภาษณ์ไปก่อน)

12. หากได้เข้ารับราชการ แล้วไปเจอความแตกแยกในหน่วยงาน คุณจะทำอย่างไร ตอบ ในฐานะที่เราเป็นข้าราชการบรรจุใหม่ การที่ต้องเจอสภาพแบบนี้ เราเองคงไม่สามารถจะทำอะไรได้มาก นอกจากถ้าตัวเราสามารถจะช่วยอะไรได้ก็จะช่วยเพื่อให้ความแตกแยกนั้นยุติลง และเราเองก็คงทำได้ด้วยการวางตัวเป็นกลาง หากมีความจำเป็นที่จะต้องเข้าข่างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เราก็จะยึดความถูกต้องเป็นหลัก

13. ถ้าไม่ได้บรรจุในที่ ที่ต้องการ จะขอย้ายเลยไหม ตอบ ไม่ย้ายครับ อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาครับ

14. ถ้าไม่ได้บรรจุจะสอบใหม่ไหม ตอบ จะมาสอบในครั้งต่อไปให้ได้ครับ มีบทเรียนจากการสอบครั้งนี้แล้วคิดว่าครั้งหน้าคงได้บรรจุรอบแรกครับ

15. ถ้าเราเป็นผู้จัดการบริษัท และมีคนที่เคยถูกจำคุกมาสมัครงาน จะรับเขาเข้าทำงานไหม ตอบ ผมจะพิจารณาจากความคิดในปัจจุบันของเขา โดยไม่เอาอดีตมาเกี่ยวข้อง หากในปัจจุบันเขากลับใจและมีความคิดในปัจจุบันที่ดีก็รับ แต่ถ้าทดสอบดูแล้วความคิดเขายังไม่ได้รับการพัฒนา ก็คงรับไว้ไม่ได้ (โดยดูจากการสัมภาษณ์)

ภาค ข การสอบเพื่อวัดความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง (200คะแนน)

ด่านเดียวและหินที่สุดในการผ่านเข้าไป สอบในภาค ค ของการสอบราชทัณฑ์ คือการสอบเพื่อวัดความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง คะแนนเต็ม 200คะแนน ต้องได้ 60% ขึ้นไปเท่านั้นถึงจะมีสิทธ์ผ่าน จากรอบที่ผ่านมาล่าสุดถือเป็นปีที่โหดพอสมควรเพราะ ตำแหน่งเจ้าพนักงานราชทัณฑ์ปฎิบัติงานผ่านแค่ 66 คนเท่านั้น และตำแหน่งนักทัณฑวิทยาปฎิบัติการผ่านแค่ 257 คนเท่านั้น

รอบนี้นักทัณฑวิทยาปฎิบัติการรับ 72อัตรา เจ้าพนักงานราชทัณฑ์ปฎิบัติงานรับ 1391อัตราเยอะที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยที่เป็นงานที่มีรายได้เสริมจากการเข้าเวรยาม ดังนั้นจะมีรายได้เพิ่มจากเงินเดือนมากเป็นอันดับต้นๆเมื่อเทียบกับข้าราขการประเภทอื่น ดังนั้นเมื่อรับเยอะคนสมัครก็ต้องเยอะตามไปด้วยเพราะคิดว่าโอกาสสอบติดมีเยอะ แต่อย่าประมาณ! ดูผู้ที่สอบผ่านในรอบที่ผ่านมาก่อน ถึงแม้กรมจะต้องการรับเยอะเพราะปัญหาคือกำลังไม่พอในปัจจุบัน แต่การสอบต้องผ่านการคัดกรองจาก กพ. และกรม ดังนั้นมาตรฐานการรับก็ยังคงมาตรฐานเดิมแน่นอนคือเน้นผู้ที่ทำคะแนนผ่านเกณฑ์เท่านั้น

การสอบแข่งขันไม่ได้แข่งกับผู้สมัครสอบ แต่เป็นการแข่งกับตัวเอง แข่งกับความเกียจคร้าน แข่งกับความสบาย แข่งกับความชอบสนุก แข่งกับความชอบเที่ยว ดังนั้นหากสอบไม่ผ่านมันไม่ได้เกี่ยวกับใคร เกี่ยวกับตัวของเราเองล้วนๆ คณะกรรมการออกข้อสอบก็รู้จุดนี้ดี ฉะนัั้นในรอบที่ผ่านมาเลยมีคนตกเยอะเพราะคิดว่าได้ข้อมูลแนวข้อสอบแบบเดิมๆมาแล้วรู้แนว คิดว่าจะออกแนวเดิม แต่ผิดคาดกันหมด ลักษณะข้อสอบจะต้องใช้ความเข้าใจในเนื้อหาที่จะออกสอบมากกว่าความจำ และจะต้องสามารถคิดวิเคราะห์ได้ด้วยเพราะมีจุดหลอกเกือบทุกข้อ

แนวข้อสอบจากเดิมที่เน้นให้เลือกตัวเลือก 4ตัวเลือกแบบทั่วๆไป ก็ปรับเป็นมีตัวเลือก 4ตัวเลือกเหมือนเดิมแต่ต้องเลือกจากข้อที่ถูกต้อง 2ข้อเกือบทุกข้อ เช่น

ข้อสอบแนวเดิม
1. จากระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน พ.ศ.2543 ขาราชการกรมราชทัณฑที่มีความจำเป็นตองพาอาวุธปนติดตัวไปเพื่อปฎิบัติหนี่้าที่จะตองไดรับอนุญาตจากผู้ใด?
ก. อธิบดี
ข. ผู้ว่าจังหว้ด
ค. พัสดี
ง. ผู้บัญชาการเรือนจำ

2. จากระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน พ.ศ.2543 การอนุญาติพาอาวุธปืนติดต้วไปมีระยะเวลากี่เดือน
ก. 6เดือน
ข. 4เดือน
ค. 3เดือน
ง. 1เดือน

ข้อสอบแนวใหม่
คำอธิบาย ให้เลือกคำตอบที่ถูกต้องโดยเลือกข้อที่สอดคล้องมากที่สุดต่อไปนี้
ก. ตัวเลือกที่ 1 และ 2ถูกต้อง
ข. ตัวเลือกที่ 1 และ 2ผิดทั้งคู่
ค. ตัวเลือกที่ 1ผิด ตัวเลือกที่ 2ถูกต้อง
ง. ต้วเลือกที่ 1ถูกต้อง ตัวเลือกที่2ผิด

1. จากระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน พ.ศ.2543ขาราชการกรมราชทัณฑที่มีความจำเป็นตองพาอาวุธปนติดตัวไปเพื่อปฎิบัติหนี่้าที่จะตองไดรับอนุญาตจากผู้บัญชาการเรือนจำ การอนุญาติดังกลาวตองทําเปนหนังสือตามแบบทายกฎกระทรวงฯโดยมอบใหกับผูรับอนุญาตนําติดตัวไป
2. จากระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน พ.ศ.2543ขาราชการกรมราชทัณฑที่มีความจำเป็นตองพาอาวุธปนติดตัว เมื่อได้รับอนุญาติแล้วมีระยะเวลาพกพา 6เดือน

เห็นได้ว่าข้อสอบแนวใหม่ 1ข้อจะเทียบได้กับข้อสอบแนวเดิม 2ข้อ ดังนั้นองค์ความรู้ที่ใช้ทำข้อสอบจะต้องแม่นยำด้วยความเข้าใจมากยิ่งขึ้น

จากการพูดคุยกับผู้ที่สอบผ่านส่วนมากจะใช้เวลาอ่านแต่ละเนื้อหาตามที่ กรมฯกำหนดนั้นประมาณ 5-10รอบต่อเนื้อหาเลยที่เดียว บางส่วนผ่านการติว(แต่ต้องอยู่ในเขตปริมณฑลหรือเมืองใหญ่ๆ และใช้ค่าใช้จ่ายมาก ซึ่งต้องมีเวลาไปติวด้วย) ดังนั้นเพื่อนต่างจังหวัดจึงใช้การอ่านทำความเข้าใจเอง และหาดูคลิปติวผ่านยูทูป(ซึ่งเนื้อหาอาจเก่า แต่สามารถใช้ได้ดีพอสมควร) หลังจากอ่านพอเข้าใจบางแล้ว สิ่งสำคัญก็คือการหาแนวข้อสอบหรือข้อสอบเก่าๆมาทดลองทำให้ได้เยอะๆ เพื่อเช็คตัวเองว่าพร้อมมากแค่ไหน
***ระยะเวลาหลังจากกรมฯปิดรับสม้ครแล้ว จะใช้เวลาไม่นานเลยในการประกาศวันสอบ***ดังนั้นหากหวังจะผ่านให้ได้เราต้องรีบอ่านตั้งแต่วันนี้เลย

สำหรับบุคคลทั่วไปท่านจะมีเพื่อนร่วมสอบเป็น ข้าราชการที่จะสอบเปลี่ยนแท่ง พนักงานราชการราชทัณฑ์ ซึ่งคุ้นเคยกับกฎระเบียบบางส่วนอยู่แล้วไม่มากก็น้อย ฉนั้นถึงแม้จะแข่งกับตัวเอง แต่ถ้าได้คะแนนเยอะๆตุนไว้ก่อนก็จะมีผลดีต่อลำดับที่เรียกบรรจุและขอลงพื้นที่

ส่วนข้าราชการที่จะสอบเปลี่ยนแท่ง พนักงานราชการราชทัณฑ์ ก็อย่าประมาณเพราะพวกท่านมีเวลาน้อยเพราะต้องใช้เวลาเข้าเวรซะส่วนใหญ่




สำหรับเนื้อหาที่ต้องหาและศึกษานั้น
ตำแหน่งนักทัณฑวิทยาปฎิบัติการและเจ้าพนักงานราชทัณฑ์ปฎิบัติงานใช้เหมือนกันได้แก่
- ความรู้เกี่ยวกับกรมราชทัณฑ์
- พรบ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พศ. 2551
- พรบ. ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2479 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กฎกระทรวงทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง
- พรบ.วิธีการปฏิบัติเกี่ยวกับการกักขังตามประมวลกฎหมายอาญา  พ.ศ.2506
- พระราบัญญัติวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการกักขังตามประมวลกฎหมายอาญา
- พรบ.พระราชกฤษฎีกาบ้านเมืองที่ดี พศ.2546
- พรบ.วินัยข้าราชการกรมราชทัณฑ์ พศ. 2482 และจรรยาบรรณข้าราชการราชทัณฑ์
- หลักการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง
- เหตุการณ์ปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับงานราชทัณฑ์
- ระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องกักขัง พ.ศ.2549

เฉพาะตำแหน่งนักทัณฑวิทยาปฎิบัติการ
- ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอาชญาวิทยาและทัณฑวิทยา

วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2559

ภาค ค การสอบเพื่อวัดความเหมาะสมกับตำแหน่ง การทดสอบสมรรถภาพของร่างกาย

การทดสอบสมรรถภาพของร่างกายคะแนนเต็ม 50 คะแนน
จะทดสอบสมรรถภาพของร่างกายด้านความแข็งแรงของร่างกาย ความคล่องตัว ความเร็ว ความอดทน โดยการวิ่ง 1000 เมตร คะแนนจะถูกหักออกไปเรื่อยหากวิ่งทำเวลาได้เกิน 4นาที และจะไม่ได้คะแนนเลยหากเกิน 6นาที 20วินาที ดังนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่เราจะวิ่งให้ได้ภายใน 4นาที ดังนั้นเลยขอนำเทคนิคของหลายคนมานำเสนอ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นกับผู้เข้าสอบเองเป็นสำคัญ ขอแนะนำให้ฝึกไว้ได้เลยตั้งแต่เริ่มสมัครสอบ เพราะถ้าเราตัดสินใจแล้วควรเอาให้ได้ หลายคนมาซ้อมเอาหลังจากทราบผลสอบแล้ว ซึ่งในรอบที่ผ่านๆมากรมจะเรียกสอบวิ่งทันทีไม่เกิน 2สัปดาห์ ดังนั้นไม่ทันแน่นอน ถึงทันก็แค่เกาะกลุ่มไม่เกิน 6นาที ซึ่งได้คะแนนน้อยมาก โดยเฉพาะรอบนี้รับเยอะมาก ผลคะแนนทุกอย่างมีผลสอบได้และที่สำคัญจะนำไปคิดเพิ่มเงินเดือนครั้งแรกด้วยประมาณ 25% และถ้าคะแนนสอบสูงบวกกับคะแนนฝึกแรกรับสูงก็มีโอกาสขอลงพื้นที่ที่เราต้องการได้เป็นกลุ่มแรกด้วย ฉะนั้นมาดูกันเราจะเก็บ 50คะแนนนี้อย่างไร


รูปแบบการฝึกซ้อม อาจแบ่งออกเป็น
1) วิ่งช้าๆ แต่ระยะทางยาวๆ (ยาวเกิน 1กม.)
2) พักหรือวิ่งเบาๆ (ทั้งช้าทั้งระยะทางไม่มากนัก)
3) วิ่งเร็ว แต่ระยะทางไม่ต้องมาก

ช่วง 1-2 สัปดาห์แรกพยายามจ๊อกให้ได้ 2-3 กม.หรือมากกว่า สัปดาห์ละ 5-6 วัน โดยไม่ต้องสนใจเวลาหรือความเร็ว ก่อนและหลังการออกกำลังกายทุกครั้ง ให้ยืดเหยียดกล้ามเนื้อส่วนต่างของร่างกาย
และควรเสรืมด้วยกายบริหารทั่วๆ ไป เช่น วิดพื้น ซิดอัพ กระโดดตบ เป็นต้น สัปดาห์ละ 3-4 ครั้งด้วย แนะนำกายบริหารจากยูทูปด้วย http://www.youtube.com/watch?v=iw_fQPb1oqY

ต่อจากนั้น (สัปดาห์ที่ 3-5) ให้จ๊อก 2-3 กม.เช่นเดิม แล้วตามด้วยวิ่งเร็ว (เร็วขึ้นอีกหน่อย) ในระยะทางสั้นๆ 100-200 เมตร 5-10 เที่ยว สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง โดยวิ่งไปแล้วค่อยๆ เดินกลับ (วิ่ง 100 เดิน 100 วิ่ง 200 เดิน 200) ยังไม่ต้องเน้นให้เร็วมากนัก แต่เน้นจัดท่าทางการวิ่งให้ดี ผ่อนคลายร่างกาย แต่มีประสิทธิภาพ เมื่อรู้คล่องแล้ว วันถัดๆ ไปก็วิ่งให้เร็วขึ้นๆ อีกนิดๆ ค่อยๆ เพิ่มความเร็ว ไม่เพิ่มแบบก้าวกระโดด คือให้กล้ามเนื้อได้ปรับตัวตามทันด้วย ถ้าให้ดีเพิ่มฝึก running drills ไปด้วย
http://www.youtube.com/watch?v=vcH97Dx8VCk สัก 20m แล้วต่อเนื่องด้วยวิ่งเร็วออกไป 80m

สัปดาห์ที่ 5 ไป ลองเพิ่มระยะวิ่่งเร็วเป็น 200-400 เมตร 4-5 เที่ยว (วิ่งสลับเดินเช่นกัน) 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ นอกนั้นวิ่งระยะ 100-200 เมตร เช่นเดิม

สัปดาห์ที่ 6-7 ไป (สัปดาห์ละครั้ง) ลองวิ่ง 200 เมตร 4-5 เที่ยว จับเวลาดู พักเดิน 200 เมตร ถ้าทำได้สบายสัปดาห์ที่ 7 ไป ก็อาจจะลอง 400 เมตร 3-4 เที่ยว (รอบหนึงไม่เกิน 1นาที 30-40วินาทีก็แจ๋วเลย)

สำหรับ 1-2 วันก่อนวันทดสอบ ให้พักหรือซ้อมเบาๆ เพื่อให้ร่างกายได้พักเต็มที่ครับ



ซ้อมเหมือนนักวิ่งเลยใช่ไหม ...ใช่เลย เพราะทำอะไร ต้องทำให้สุดๆ เมื่อพลาดมาเรายังพอบอกตัวเองได้ว่าทำเต็มที่แล้วนะ

รวมแรกรับรุ่นพี่ๆที่ผ่านมา

หลังจากสอบผ่านและได้รับการบรรจุเข้ารับราชการในกรมราชทัณฑ์ ต้องเจอด่านหินอีกหนึ่งด่าน นั้นก็คือการเข้ารับการฝึกข้าราชการบรรจุใหม่ของกรมราชทัณฑ์ (แรกรับ)สามเดือนเต็ม และการฝึกงานตามเรือนจำมั่นคงสูงอีกสามเดือน เมื่อครบหกเดือนจึงจะได้รับการประเมินทดลองงานบรรจุเป็นข้าราชการเต็มตัว

การฝึกแรกรับ
เป็นการไปเข้าฝึกที่ศูนย์ฝึกของกรมราชทัณฑ์ซึ่งณปัจจุบันมีสองที่คือ ศูนย์ฝึกคลองไผ่จังหวัดนครราชสีมา และ ที่ลำปาง หลักสูตรก็เหมือนกัน ประกอบด้วย การฝึกเพื่อปรับสภาพร่างกายโดยศูนย์ฝึกรบพิเศษเป็นเวลาสองสัปดาห์ ต่อด้วยการฝึกยุทธวิธีกับตำรวจหน่วยปฎิบัติการพิเศษอีกสี่สัปดาห์ การเรียนวิชาเกี่ยวกับงานราชทัณฑ์อีกสี่สัปดาห์ฝึกงานตามเรือนจำอีกสามสัปดาห์ ปรับสภาพจิตใจด้วยการเข้าวัดปฎิบัติธรรมอีกหนึ่งสัปดาห์ และการทดสอบทั้งด่านวิชาการและปฎิบัติอีกหนึ่งสัปดาห์ วันสุดท้ายหลังจากประดับยศเรียบร้อยจะเป็นวันที่แต่ละคนจะทราบว่าได้ไปฝึกงานที่ไหน ซึ่งจะเป็นบททดสอบจริงอีกสามเดือนก่อนที่จะได้รับการประเมินว่าผ่านการทดลองงาน 6 เดือนหรือไม่ และผลของการปฎิบัติตั้งแต่วันแรกของการฝึกแรกรับจนถึงวันสุดท้ายของการฝึกงานหากผ่านจะต้องนำมาเป็นปัจจัยหลักในการเลือกที่ลง โดยจะเลือกได้สามเรือนจำหรือทัณฑสถาน แต่ต้องนำคะแนนที่ผ่านๆมา มาพิจารณาใครคะแนนดีก็เลือกก่อน ที่ผ่านมาคงไม่แปลกถ้าที่เลือกไว้ทั้งสามที่จะไม่ได้ แต่ไปได้ที่อื่นๆแทน นั้นก็เป็นเพราะมีคนอื่นๆเลือกไปแล้วและตำแหน่งว่างก็หมด

 ด้านล่างคือคลิปตัวอย่างเล็กๆน้อยๆที่ตัดเฉพาะที่สามารถลงสื่อได้ (ต้องขอขอบคุณรุ่นพี่ๆที่ได้อัปไว้ให้ดู)